เมื่อเข้าสู่ฤดูใหม่ สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอาจนำพาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มาสู่เจ้าตัวน้อย เนื่องจากอากาศเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและอารมณ์ ส่งผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บที่แตกต่างกันไป ในหน้าร้อนนั้น เชื้อโรคจะเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย ไม่ว่าจะเป็นโรคที่มาพร้อมกับความร้อนโดยตรง หรือโรคที่เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน ดังนั้นคุณแม่จึงควรเตรียมรับมือ เนื่องจากเด็กเล็กภูมิคุ้มกันยังน้อยเลยทำให้มีอาการป่วยและเป็นโรคต่างๆ ได้ง่าย หากปล่อยให้ลูกน้อยเผชิญกับโรคภัยเหล่านั้น อาจก่อให้เกิดอันตรายจนส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจได้
6 โรคที่มากับฤดูร้อน
1. โรคจากระบบทางเดินอาหาร
เนื่องจากอากาศร้อนเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ส่งผลให้อาหารเกิดการเสียและบูดเร็วขึ้น ซึ่งถ้าทานเข้าไปอาจทำให้ป่วยเป็นโรคท้องร่วง หรืออาหารเป็นพิษได้
อาการ : ท้องเสียและถ่ายเป็นน้ำ อาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย หากอาการรุนแรง อาจเกิดการช็อคหมดสติได้
2. โรคผดร้อน
เป็นโรคที่เกิดจากรูขุมขนอุดตัน และไม่สามารถขับออกมาเป็นเหงื่อได้ จนกลายเป็นตุ่มแดงตรงบริเวณผิวหนัง
อาการ : คันและไม่สบายตัวร่วมด้วย ซึ่งผื่นสามารถหายได้เอง ภายใน 1-2 วัน แต่ถ้าหลายวันผื่นไม่ยุบ ควรพาลูกไปพบแพทย์ทันที
3. เลือดกำเดาไหล
มักจะพบบ่อยในกลุ่มเด็กที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ทำให้จมูกไวต่อการการเปลี่ยนแปลงของอากาศ และเป็นปัญหาสำหรับการปรับตัวของเยื่อจมูก ซึ่งทำให้เกิดอาการจาม คัดจมูก แล้วชอบขยี้จมูก จนทำให้เส้นเลือดในโพรงจมูกแตก จึงเป็นเหตุให้เลือดกำเดาออกนั่นเอง
วิธีรับมือเมื่อลูกเลือดกำดาวไหล :
ให้เด็กนั่งตัวเอียงไปข้างหน้า และให้ศีรษะก้มลงเล็กน้อย เพื่อให้เลือดไหลออกทางจมูกแทนที่จะไหลลงคอ ซึ่งอาจทำให้เด็กอาเจียนออกมาเป็นเลือดจากที่กลืนเข้าไป
ใช้มือบีบจมูกบริเวณปีกจมูกเบา ๆ ในข้างที่มีเลือดกำเดาไหล อย่างน้อย 10 นาที และหากเลือดยังไม่หยุดไหลนานเกิน 30 นาที ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ทันที
4. โรคจากระบบทางเดินหายใจ
เนื่องจากอากาศมีการเปลี่ยนแปลงไปมา ส่งผลให้ลูกน้อยปรับตัวสภาพอากาศไม่ทัน และป่วยเป็นโรคทางระบบหายใจได้ง่ายขึ้น เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่เป็นต้น
อาการ : ปวดหัว ตัวร้อน ไอ จาม อ่อนเพลีย คัดจมูก หรือ น้ำมูกไหล
5. โรคพิษสุนัขบ้า
เป็นอีกหนึ่งโรคที่น่ากลัวในช่วงหน้าร้อน ซึ่งอาจทำให้สัตว์เลี้ยงหงุดหงิดได้ง่าย จึงมีโอกาสโดนกัดได้บ่อย ซึ่งเชื้อพิษสุนัขบ้าสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมได้นานขึ้น เนื่องจากในช่วงหน้าร้อนเชื้อโรคจะเจริญเติบโตได้ดี และมีโอกาสแพร่เชื้อได้มากขึ้น นอกจากนี้โรคพิษสุนัขบ้ายังไม่มียาที่รักษาให้ขาดได้โดยตรง ดังนั้นคุณแม่ควรระวังไม่ให้ลูกไปอยู่สถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการโดนสุนัขกัด หากถูกกัดควรรีบทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสบู่ และรีบพามาพบแพทย์ เพื่อจะได้รีบฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าได้ทันท่วงที
อาการ : อาการเริ่มแรก คือ กังวล ปวดหัว และเป็นไข้ เมื่อเชื้อแพร่กระจายไปยังส่วนประสาทส่วนกลางจะก่อให้เกิดการอักเสบในสมองและกระดูกสันหลัง และอาจนำไปสู่การเสียชีวิต
6. โรคฮีทสโตรกหรือโรคลมแดด
เกิดจากร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไปเช่น ตากแดดเป็นเวลานาน จนทำให้สมองทำงานผิดปกติในด้านของการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบสมอง เพราะมีอุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 40 °C
อาการ : อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีเหงื่อออก หน้าแดง ปวดศีรษะ รู้สึกกระหายน้ำมาก อ่อนเพลีย หน้ามืด เพ้อ ชัก ไม่รู้สึกตัว หายใจเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือชีพจรเต้นเร็ว อาจช็อกจนเสียชีวิตได้
สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกไม่ป่วยง่ายได้อย่างไร
- สอนให้ลูกหมั่นล้างมือ เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
- เลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ สด สะอาด มีประโยชน์ และดื่มน้ำให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ
- ไม่ควรให้ลูกออกไปวิ่งเล่นกลางแดดเป็นเวลานาน และให้สวมเสื้อผ้าที่ระบายเหงื่อได้ดี
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- สังเกตและดูแลสุขภาพของลูกและคนในครอบครัวอย่างใกล้ชิด เพื่อจะรักษาได้ทัน
เพื่อให้ลูกน้อยแข็งแกร่ง มีภูมิคุ้มกันดี และไม่ป่วยง่ายแม้อากาศเปลี่ยนแปลง นอกเหนือจากวิธีข้างต้นนี้ คุณแม่สามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยได้ง่ายๆ โดยการให้ลูกดื่มนมแพะ ที่มีอะโพไครน์คล้ายนมแม่ ให้สารอาหารครบถ้วนจากธรรมชาติ อีกทั้งยังมีนิวคลีโอไทด์ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หากทำตามนี้แล้ว สุขภาพร่างกายของเจ้าตัวน้อยก็จะแข็งแรง เติบโตสมวัย ห่างไกลจากโรคภัยและเชื้อโรคต่างๆ ได้อย่างแน่นอน