มือเท้าปาก โรคยอดฮิตที่คุณแม่ต้องระวัง

เขียนโดย

DG Smartmom

เผยแพร่เมื่อ

08 เมษายน 2564

อ่านแล้วจำนวน

107

เรามักได้ยินข่าวเด็กป่วยเป็นโรคมือเท้าปากอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเด็กวัยอนุบาลจะพบบ่อยมาก ยิ่งเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปียิ่งต้องระวัง เพราะจะมีความรุนแรงของโรคมากกว่าเด็กโตค่ะ 

รู้จักโรคมือเท้าปาก 

โรคมือเท้าปาก (Hand-Foot-and-Mouth Disease: HFMD) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส ซึ่งมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ โดย กลุ่มเสี่ยงที่พบบ่อยคือเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี และความร้ายแรงของเจ้ามือเท้าปากก็คือ ไวรัสตัวนี้ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางสมองได้ค่อนข้างรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

การติดต่อของโรคมือเท้าปาก

ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากการสัมผัสกันเป็นหลัก เด็กบางคนไม่รู้ว่าป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก ยังไปโรงเรียน ยังเล่นของเล่นทั่วไปได้ เชื้อที่อยู่ในน้ำลาย น้ำมูก น้ำจากตุ่มและแผลโดนเครื่องเล่น ของเล่นต่างๆ เมื่อเด็กคนอื่นมาเล่นต่อก็มีโอกาสรับเชื้อไวรัสด้วย หรือแม้แต่การไอจามรดกันก็เป็นการแพร่เชื้อมือเท้าปากสู่คนอื่นได้เช่นกัน 

การรักษาโรคมือเท้าปาก 

ปัจจุบันนี้ยังไม่มียารักษาโดยตรง คุณหมอทำได้แค่เพียงรักษาตามอาการเท่านั้น เช่น ถ้าลูกตัวร้อน ให้กินยาลดไข้ หรือหากเจ็บแผลในปากจนทานอะไรไม่ได้ คุณหมอก็จะใช้ยาป้ายปากเพื่อลดความเจ็บปวดเวลารับประทานอาหารค่ะ

ข้อสังเกตโรคมือเท้าปาก 

- มีไข้เฉียบพลัน

- ปวดหัว ปวดท้อง เมื่อยตัว

- เจ็บคอ เบื่ออาหาร เด็กจะไม่ยอมทานอะไรเลยเพราะเจ็บแผลในปาก

- เด็กจะมีน้ำลายเหนียว ไหลยืดมากผิดปกติอยู่ตลอดเวลา

- มีตุ่มใสขึ้นตามมือ เท้า ลำตัวและก้นเด็ก 

ในเบื้องต้น ถ้าสังเกตอาการลูกแล้วคิดว่าลูกเป็นโรคมือเท้าปากจริงๆ ควรให้ลูกหยุดเรียนก่อนเพื่อดูอาการ เพราะถ้าลูกยังไปโรงเรียนอาจเป็นการไปแพร่เชื้อได้ 

การดูแลเด็กที่เป็นโรคมือเท้าปาก

หากลูกมีไข้ให้เช็ดตัวหรือกินยาลดไข้ และเนื่องจากอาการเจ็บแผลในปากทำให้เด็กๆ ไม่ยอมกินอะไร เพราะฉะนั้นก่อนให้ลูกกินข้าว คุณแม่ควรใช้ยาชาที่คุณหมอให้มาทาบริเวณแผลในปากของลูกก่อน หรือเน้นอาหารที่เป็นของเหลวที่มีความเย็น เช่น นมแช่เย็น น้ำหวาน ไอศครีม เจลลี่ผลไม้ เต้าหวยนมสด เกลือแร่ ควรให้ลูกดื่มน้ำหรืออาหารที่มีน้ำมากๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการขาดน้ำของลูก แต่หากลูกไม่สามารถกินอะไรได้เลยต้องรีบพาไปหาหมอเพื่อให้น้ำเกลือค่ะ

คุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงลูกแบบ Advance จะรู้ว่าถ้าลูกป่วยเป็นโรคมือเท้าปากต้องให้ลูกหยุดเรียน เพราะความรุนแรงของโรคส่วนหนึ่งมักเกิดจากความไม่รู้ของพ่อแม่หลายๆ คน ที่ไม่ทราบว่าลูกป่วยเป็นโรคมือเท้าปากแล้วยังให้ลูกไปโรงเรียน หรือแม้แต่เด็กบางคนที่เพิ่งหายป่วย และโรงเรียนไม่มีการหยุดเรียน หรือไม่มีมาตรการรักษาความสะอาดที่ดีพอ เมื่อเด็กไปโรงเรียนก็จะมีการแพร่เชื้อหรือติดเชื้อวนเวียนซ้ำๆ ไปมา และเด็กที่เป็นซ้ำๆ ก็มีแนวโน้มที่ความรุนแรงของโรคจะสูงขึ้น มีความเสี่ยงมากขึ้นไปอีกค่ะ

เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก ด้วยการดื่มนมแพะทุกวัน เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกแข็งแรง เพราะมีประโยชน์ดังนี้

1. แพะมีระบบการสร้างน้ำนมแบบเดียวกับคนที่เรียกว่าอะโพไครน์ ( Apocrine)

ทำให้ได้สารอาหารครบถ้วนจากธรรมชาติ มีประโยชน์สูง เรียกว่า ไบโอแอคทีฟ คอมโพเนนท์ (Bioactive Components) ประกอบด้วย นิวคลีโอไทด์ ทอรีน โพลีเอมีนส์ โกรทแฟคเตอร์ และสารอาหารที่ช่วยพัฒนาระบบประสาท เซลส์สมอง สายตา และการเรียนรู้ของลูก เช่น ดีเอชเอ, เออาร์เอ, โอเมก้า 3 6 9, วิตามินบี 12, ทอรีน, โคลีน, วิตามินเอ จึงช่วยให้ลูกน้อยแข็งแรงเติบโตสมวัย

2. นมแพะมีโปรตีน ที่ย่อยง่ายและดูดซึมได้ง่าย

เพราะมีสัดส่วนของโปรตีนเบต้าเคซีนซึ่งย่อยง่ายในปริมาณสูงกว่านมวัวถึง 2 เท่า ลูกจึงสบายท้อง ห่างไกลจากอาการท้องอืด และนมแพะมีโปรตีน CPP (Casein Phosphopeptides) ซึ่งเป็นตัวช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุสำคัญต่างๆ ได้แก่ แคลเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี แมกนีเซียม เข้าสู่ร่างกายเพื่อการเจริญเติบโต และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. นมแพะ ทำให้เกิดอาการแพ้น้อยกว่านมวัว

เพราะนมแพะมีปริมาณก่อแพ้น้อยกว่านมวัวถึง 23% โอกาสเกิดการแพ้จึงน้อยกว่า

บทความที่เกี่ยวข้อง